วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

" เลือกตั้ง 3 กค . 2554 นครพนม " จะเลือกใคร ให้ดูที่ผลงาน



                     ช่วง 2 - 3 อาทิตย์ที่ผ่านมาได้ตะลอนๆไปพูดคุยกับชาวบ้านหลากหลายอาชีพเกือบ  40 คน จากธาตุพนมใต้สุดขึ้นมาถึงบ้านแพงเหนือสุด  " ถึงการเลือกตั้ง สส. ปี 2554  " ในจังหวัดนครพนม ก็พบว่า  ชาวบ้านส่วนใหญ่ในวันนี้ ก็ยังเป็นคนไทยแบบเดิมๆที่ไม่ค่อยชอบพูดถึงการเมืองอย่างเต็มปากเต็มคำ  ก็ไม่ทราบว่า เป็นเพราะความเขินอาย หรือ เบื่อหน่าย  เมื่อเราแอบถามเรื่องการเมืองอย่างไม่ตั้งใจว่า  ชอบ หรือ จะเลือก เบอร์อะไร พรรคอะไร  ปรากฏว่า  ส่วนใหญ่อมยิ้มแล้วบอกว่า  อยู่ในใจไม่ ( มีวัน ) บอก  มีเกือบ 10 คนที่ชักสีหน้าแล้วเดินหนีไปดื้อๆไม่เป็นมิตรไม่เป็นศัตรู  แต่มีเพียง  6 คนที่ตอบเสียงดังฟังชัดว่า  เลือกพรรคนั้น เบอร์นี้  ซึ่งเราก็จะไม่ ( มีวัน ) บอกว่า พรรคใด หรือ เบอร์ใด เช่นกันให้ใครได้ประโยชน์  นี่ก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวนิดเดียวของสังคมจังหวัดนี้  เมื่อเทียบจำนวนคน 40 กับคนมีสิทธิ์เลือกตั้งเกือบ 300,000 คนแล้ว  นี่ก็คงไม่ใช่ " ข้อมูล " ที่สลักสำคัญอะไรที่ใครจะเอาไปใช้อ้างอิงได้


 การแข่งขันโฆษณาหาเสียง  ด้วยการโปรยนโยบายประชานิยมใหม่ๆ  ที่สวยหรูและสุดแสนจะฝันหวาน ให้ประชาชน ของพรรคการเมืองต่างๆ  เพื่อหวังโกยคะแนนเสียงในการจัดตั้งรัฐบาลเพียงอย่างเดียว  ในระหว่างที่ชาวบ้านยังจมอยู่กับปัญหาเก่าๆที่ยังไม่ได้รับความสนใจ  ก็สังเกตุว่า  ไม่เห็นมีพรรคการเมืองใด ที่มีนโยบายจะแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของชาวบ้านอย่างจริงจัง  โดยออกไปสำรวจสอบถามว่า  เขาเดือดร้อนอะไร และ ต้องการให้แก้ไขในเรื่องใด  เพื่อให้ตรงกับความต้องการของเขาจริงๆ
  แต่จากการพููดคุยกับชาวบ้านหลายกลุ่มในชนบทรอบนอกถึง เรื่องที่พวกเขายังกังวลอยู่มาก  ก็มีเช่น



-  หนี้สินจากกองทุนหมู่บ้าน  ที่ชาวบ้านไปผ่อนซื้อรถกระบะมาขับ ตั้งแต่เปิดโครงการกองทุนหมู่บ้าน  ว่ากันว่า  รถกระบะ 8 ใน 10 คันในแต่ละหมู่บ้าน  ยังค้างชำระค่างวดรถมาร่วม 2 - 3 ปีแล้ว  เมื่อรวมเงินค่างวดค่าดอกเบี้ยและเงินค่าปรับซึ่งขึ้นไปเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้   การชำระหนี้รถจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด  ก็เป็นลักษณะเดียวกับคนเมืองใหญ่ที่มีปัญหาเรื่องบัตรเครดิต และ หนี้นอกระบบ  แต่ได้ข่าวว่า  พรรคภูมิใจไทย  มีนโยบาย จะยกหนี้กองทุนหมู่บ้านฯให้ทั้งหมด 70,000 ล้านนั้น  เราก็ว่าดี แต่ควรเป็นเงินของพรรคเองนะ  ไม่ใช่เงินภาษี  ส่วนใครที่กำลังคิดจะให้บัตรเครดิตชาวนา  ก็ลองไปทบทวนใหม่



-  งานโอทอป  ทุกวันนี้  งานโอทอปเจ้าเล็กเจ้าน้อย ต่างโรยราล้มหายตายจากไปกว่าครึ่ง เมื่อนับจากช่วงแรกที่เปิดโครงการ  เพราะชาวบ้านเขาก็แค่ทำได้ แต่ทำแล้วขายไม่เป็นเพราะไม่รู้จะขายใคร  เนื่องจาก ชาวบ้านไม่มีความรู้เรื่องระบบการตลาดที่ดี จนทุนหายกำไรหด  ที่เหลืออยู่ก็แค่ประคับประคองตัว  โดยการกู้นอกระบบหมุนเวียนไปวันๆ  ยกเว้นแต่รายใหญ่ๆที่ทำกันมานานก่อนที่จะเกิด " โอทอป "  เท่านั้น ที่ยังคงแข็งแรงอยู่  แล้วชาวโอทอป เขาจะอยู่กันยังไง


ป้ายแบบนี้จะพบเห็นได้ตามหมู่บ้านตำบลรอบนอก  ซึ่งชาวบ้านร้องเรียนว่า ลูกหลานเขาโดนรีดไถเป็นประจำ  วัยรุ่นบางคนก็โดนยึดรถไป  แล้วก็ไม่มีพ่อแม่เด็กคนใดใครกล้าไปทวงคืนจากตำรวจด้วย


"  ใส่หมวกแล้ว  ก็ยังตรวจใบขับขี่ "
ทั้งที่กฏหมายเขียนว่า " จะว่ากล่าวตักเตือน หรือ เขียนใบสั่งก็ได้  "
แล้วสิทธิ " การว่ากล่าวตักเตือนของประชาชนหายไปไหน "
กฏหมาย กับ คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อะไรใหญ่ สำคัญ กว่ากัน   ?

-  การกวดขันของตำรวจจราจร  ที่คึกคักและเฟื่องฟูที่สุด  นับแต่รัฐบาลไทยรักไทย  มีโครงการเอื้ออาทรตำรวจ  โดยได้ปรับปรุงการจ่ายสินบนเงินรางวัลค่าปรับการจับกุมความผิดจราจรทางบก  จากเดิม ไม่เกินคนละ 3,800 บาท ไปเป็นไม่เกินคนละ 10,000 บาท ต่อเดือน ( แถมเดือนไหนจับได้น้อยก็เบิกเงินอุดหนุนมาเพิ่มให้  )  ในปี 2546 เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้ตำรวจจราจรเป็นต้นมา ( แต่ไม่ได้รักคนยากคนจน เหมือนปากว่าเลย )   ซึ่ง เราจะสังเกตุเห็นความฮึกเหิมขยันขันแข็งตั้งด่านตรวจน้อยใหญ่อย่างเอาเป็นเอาตาย ( ตั้งด่านตรวจ ที่ทำถูกต้องตามระเบียบมีบ้าง แต่ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่  ซึ่งฟ้องเอาผิดระเบียบวินัยได้  )  เพื่อกวดขันวินัยจราจร เช่น  การตรวจจับยึดรถดัดแปลง ( ส่วนใหญ่เป็นรถเก่าที่ซ่อมมาใช้งานไม่มีทะเบียน )  การตรวจใบขับขี่และการไม่สวมหมวกกันน็อค  ทำให้ชาวบ้านเสียทั้งเงินและเวลา  ที่น่าเศร้าคือ มีการจับหลายรูปแบบ  ตั้งแต่แอบซุ่มข้างทาง  พอรถผู้ไม่สวมหมวกกันน็อค ผ่านมา  ก็กระโดดออกมามือกางกั้นให้หยุดแล้ว ปิดกุญแจรถแล้วกระชากไป  ตลอดจนการขี่รถไล่จับวัยรุ่นดุเดือดยิ่งกว่าในหนัง  บ้างก็ถีบคนขี่ตกรถก็มี  แต่สรุปแล้ว  ตำรวจมีรายได้เพิ่มจากเงินค่าปรับปีละนับหลายสะตังค์   ยังไม่รวมมูลค่ารถมอเตอร์ไซต์ที่ถูกยึดไปเก็บไว้ที่สถานีตำรวจ ปีๆนับร้อยคัน  ซึ่งต่อมาก็มีพ่อค้ามาประมูลไปในราคาถูกทุกปี  ( เงินไปไหนไม่ทราบ )  นับว่า เรื่องการกวดขันจับปรับของตำรวจจราจรเพื่อหวังเงินสินบนรางวัลเป็นที่ตั้งนี้  ได้สร้างความทุกข์ผสมความแค้นเคืองใจให้กับชาวบ้านผู้มีรายได้น้อย หรือ ชาวรากหญ้า มานานนับ 8 ปีแล้ว  








หากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คิดว่า  การปฎิบัติงานเช่นนี้เป็นเรื่องที่สมควร  และ อยากทำให้ถูกต้องโดยไม่ต้องการให้ถูกกล่าวหาว่า ไปริดรอนสิทธิขั้นพื้นฐานอันพึงมีของประชาชน  ก็ควรไปแก้กฏหมาย พรบ.จราจรทางบก 2522 มาตรา 140  โดยการตัดคำว่า " ว่ากล่าวตักเตือนผู้ขับขี่ " ออกเสีย  ไม่เช่นนั้น  จะเป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ของกฏหมาย  มาข่มเหงประชาชน

พรรคการเมืองใด  จะรับพิจารณาแก้ไขผลงานที่เป็น มรดกบาปจากรัฐบาลไทยรักไทย ในเรื่องนี้  โดยการริบเงินรางวัลสินบนค่าปรับต่างๆของตำรวจจราจร  ให้เข้าคลังหลวงทั้งหมดเสีย ( เพื่อจะได้นำไปพัฒนาประเทศในประโยชน์อื่นๆได้ ) จากเดิมที่เงิน  100 บาทเคยกันให้ตำรวจผู้จับกุมถึง 95 บาท แต่ส่งเข้าคลัง เพียงแค่ 5 บาท  ทั้งที่รัฐเป็นผู้เสียหาย เพราะประชาชนทำผิดกฏหมาย แต่เงินค่าปรับ ทำไมต้องเข้ากระเป๋าตำรวจเกือบทั้งหมด  ซึ่งดูแล้วมันไม่คุ้มกับค่าพิมพ์ใบสั่งเลย  และให้ เสนอ โอนงานรักษา พรบ.จราจรทางบก  ซึ่งทางตำรวจ ขาดแคลนทั้งรถทั้งคนแถมน้ำมันก็ไม่ค่อยมี  มิหนำซ้ำ  ก็มีปัญญารักษากฏหมายได้แค่เวลาราชการ (  8 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น หรือทำงานวันละ 8 ชั่วโมง )   ทั้งๆที่รถราวิ่งกันทั้งวันทั้งคืน  ไปให้หน่วยราชการท้องถิ่น  เช่น เทศบาล และ อบต. เป็นผู้ดูแลแทนเสีย เพราะมีกฏหมายรองรับบางส่วน และมีความพร้อมทุกอย่างทั้งคน รถ น้ำมัน และ เวลา

หากมีพรรคใดรับปากว่า  จะแก้ไขเรื่องจราจรข่มเหงประชาชนได้  ชาวบ้านเขาคงจะกาคะแนนให้จนหมดตัว