
ประกาศ พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี ในวันที่ 18 มกราคม 2555
การปรับ ครม. ครั้งแรก ในรอบ 6 เดือนของรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชิณวัตร
นับแต่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชิณวัตร บริหารประเทศมาครบ 6 เดือน ก็ถึงเวลาต้องปรับครม.เป็นครั้งแรก และสาธารณชนก็ได้เห็นโฉมหน้า ครม.ชุดใหม่ว่า ใครเป็นใคร ไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนจะด้วยเหตุผลประการใดก็คงเป็นเรื่องของเธอคนเดียวที่รู้แก่ใจดี แต่เมื่อนักข่าวไปถามถึงเหตุผลของการปรับเปลี่ยนในครั้งนี้ เธอก็ตอบว่า " เพื่อความเหมาะสมและความคล่องตัวในการทำงาน " และยังยืนยันอย่างหนักแน่นอีกว่า " โผ ครม.ชุดใหม่นี้ เธอเป็นคนทำเองกับมือในประเทศ ไม่มีคนนอกมายุ่งเกี่ยวด้วย " การใช้คำพูดเหตุผลในลักษณะนี้ ก็เหมือนอดีตนายกฯ ชายคนก่อนๆที่ใช้ตอบนักข่าว แบบมักง่ายไม่หวังผล คือ จะเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ตามใจ

แต่ด้วยความที่เธอเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาดีบุคลิกภาพดี เมื่อใครๆได้ฟังเธอพูดประโยคนี้แล้ว ก็คงจะรู้สึกว่า " ที่พูดนี่ มันจริง งั้นเรอะ " และที่สำคัญ ผลลัพธ์ที่ออกมามันช่างต่างจากนักการเมืองชายเป็นอย่างมาก เธออาจจะยังไม่ทราบว่า ผู้สนับสนุนให้เธอชนะการเลือกตั้งนอกจากคนเสื้อแดงส่วนหนึ่งแล้ว ก็มีศรัทธาจากคนหนุ่มสาววัยเรียนวัยทำงานจำนวนหลายล้าน ที่ส่วนใหญ่เลือกเธอ ก็เพราะต้องการได้นายกรัฐมนตรีที่เป็น ผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย และคนสูงวัยอีกจำนวนไม่น้อย ก็เลือกเธอเพราะเชื่อมั่นว่า ความเป็นนายกฯ ผู้หญิงจะทำให้บ้านเมืองสงบ
ความเป็นนักการเมืองหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการมาเพียงครึ่งปี ดังนั้น การพูดจาให้สัมภาษณ์ในที่สาธารณะจึงฟังดูไม่ค่อยธรรมชาติฉาดฉานเหมือนนักการเมืองอาชีพ ตามที่สื่อค่ายต่างๆได้ตั้งข้อสังเกตุว่า เธอพูดไปตามบท มากกว่าจะเป็นตัวของตัวเอง และคำพูดของเธอในหลายวาระมันก็ฟังขัดหูจริงอย่างที่เขาว่า จึงเห็นได้ว่า การจะพูดให้คนเชื่อถือและวางใจ โดยที่คนฟังคนเชียร์ไม่ต้องถอนหายใจ นับเป็นภาระกิจอันยิ่งใหญ่ที่สุดของตัวเธอเอง ซึ่งเรื่องนี้ใครๆหรือแม้แต่แฟน ก็คงจะทำแทนไม่ได้ และก็คาดว่า คำพูดบางคำบางประโยคของเธอที่หลุดออกไป มันอาจจะย้อนกลับมารุมเร้าให้เธอหนักใจยิ่งกว่า การตอบกระทู้ในสภาเสียอีก
ก็เอาเถอะ เมื่อประชาชนได้เลือกเธอมาแล้ว ประเทศชาติก็บอบช้ำมามากแล้ว เราก็เชื่อว่า ไม่มีเหตุผลอันใดที่ " เธอจะปฏิเสธ การทำงานแต่เรื่องดีๆให้ประเทศชาติ และช่วยแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชนเป็นอันดับต้นๆ โดยไม่คิดที่จะไปทำเรื่องใดๆให้ตัวเองก่อน หรือ จะทำเรื่องใดๆก็ได้ " เพราะภาระอันหนักหน่วงที่รอให้เธอดูแลแก้ไขนั้นมีมากมาย ไม่ว่า การดูแลบ้านเมืองให้สงบสุข การดูแลเยียวยาผู้ประสบมหาอุทกภัย โดยเฉพาะนโยบายการแก้ปัญหาความยากจนที่ยังค้างคามาหลายรัฐบาล เรื่องหนี้สินเกษตรกร ปัญหาหนี้สินในครอบครัว จากความไม่มั่นคงในอาชีพและการมีรายได้ไม่แน่นอน เพราะงานหายรายได้หด และที่สำคัญ คือ เรื่องค่าใช้จ่ายในครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นไม่หยุด อันเนื่องมาจากปัญหาข้าวของแพงไปตามราคาน้ำมัน โดยที่ฝ่ายรัฐไม่เคยเอาชนะพ่อค้าได้แม้สักครั้ง ต้องปล่อยให้ประชาชนแบกภาระไปตามลำพัง โดยเฉพาะคนในชนบทต้องซื้อสินค้าแพงกว่าคนในเมือง ฯลฯ จึงฝากให้เธอลองทบทวนใหม่อีกครั้งว่า การใช้เงินแก้ปัญหาความยากจน เพียงอย่างเดียวนี่ มันเป็นคำตอบสุดท้าย จริงใหม ? และฝากให้ ครม.ชุดใหม่ในรัฐบาลของเธอช่วยกันคิดดูว่า ปัญหาความยากจนนี่ ควรจะมีแนวทางปฏิบัติให้ถูกจุดตรงเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรมอย่างไร ให้สมกับความคาดหวังของคนที่เขาเลือกพวกท่าน ก่อนที่อะไรๆ จะเปลี่ยนไป