วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สรุปผลการเลือกตั้ง จังหวัดนครพนม

















สรุปว่า  พรรคเพื่อไทย เป็นผู้ชนะ ได้คะแนน   247,367  เสียง  จากผู้มาลงคะแนน  356,684  คน
คิดเป็น 69 เปอร์เซ็นต์  ถือว่า  ชนะขาด
แต่เมื่อคิดจากจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งจังหวัด  510,581  คน ก็ได้เสียง 48 เปอร์เซ็นต์ไม่ถึงครึ่ง
หรือเทียบกับจำนวนประชากรทั้งจังหวัด  703,392  คน  ก็คิดเป็น 29 เปอร์เซ็นต์



วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

" เลือกตั้ง 3 กค . 2554 นครพนม " จะเลือกใคร ให้ดูที่ผลงาน



                     ช่วง 2 - 3 อาทิตย์ที่ผ่านมาได้ตะลอนๆไปพูดคุยกับชาวบ้านหลากหลายอาชีพเกือบ  40 คน จากธาตุพนมใต้สุดขึ้นมาถึงบ้านแพงเหนือสุด  " ถึงการเลือกตั้ง สส. ปี 2554  " ในจังหวัดนครพนม ก็พบว่า  ชาวบ้านส่วนใหญ่ในวันนี้ ก็ยังเป็นคนไทยแบบเดิมๆที่ไม่ค่อยชอบพูดถึงการเมืองอย่างเต็มปากเต็มคำ  ก็ไม่ทราบว่า เป็นเพราะความเขินอาย หรือ เบื่อหน่าย  เมื่อเราแอบถามเรื่องการเมืองอย่างไม่ตั้งใจว่า  ชอบ หรือ จะเลือก เบอร์อะไร พรรคอะไร  ปรากฏว่า  ส่วนใหญ่อมยิ้มแล้วบอกว่า  อยู่ในใจไม่ ( มีวัน ) บอก  มีเกือบ 10 คนที่ชักสีหน้าแล้วเดินหนีไปดื้อๆไม่เป็นมิตรไม่เป็นศัตรู  แต่มีเพียง  6 คนที่ตอบเสียงดังฟังชัดว่า  เลือกพรรคนั้น เบอร์นี้  ซึ่งเราก็จะไม่ ( มีวัน ) บอกว่า พรรคใด หรือ เบอร์ใด เช่นกันให้ใครได้ประโยชน์  นี่ก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวนิดเดียวของสังคมจังหวัดนี้  เมื่อเทียบจำนวนคน 40 กับคนมีสิทธิ์เลือกตั้งเกือบ 300,000 คนแล้ว  นี่ก็คงไม่ใช่ " ข้อมูล " ที่สลักสำคัญอะไรที่ใครจะเอาไปใช้อ้างอิงได้


 การแข่งขันโฆษณาหาเสียง  ด้วยการโปรยนโยบายประชานิยมใหม่ๆ  ที่สวยหรูและสุดแสนจะฝันหวาน ให้ประชาชน ของพรรคการเมืองต่างๆ  เพื่อหวังโกยคะแนนเสียงในการจัดตั้งรัฐบาลเพียงอย่างเดียว  ในระหว่างที่ชาวบ้านยังจมอยู่กับปัญหาเก่าๆที่ยังไม่ได้รับความสนใจ  ก็สังเกตุว่า  ไม่เห็นมีพรรคการเมืองใด ที่มีนโยบายจะแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของชาวบ้านอย่างจริงจัง  โดยออกไปสำรวจสอบถามว่า  เขาเดือดร้อนอะไร และ ต้องการให้แก้ไขในเรื่องใด  เพื่อให้ตรงกับความต้องการของเขาจริงๆ
  แต่จากการพููดคุยกับชาวบ้านหลายกลุ่มในชนบทรอบนอกถึง เรื่องที่พวกเขายังกังวลอยู่มาก  ก็มีเช่น



-  หนี้สินจากกองทุนหมู่บ้าน  ที่ชาวบ้านไปผ่อนซื้อรถกระบะมาขับ ตั้งแต่เปิดโครงการกองทุนหมู่บ้าน  ว่ากันว่า  รถกระบะ 8 ใน 10 คันในแต่ละหมู่บ้าน  ยังค้างชำระค่างวดรถมาร่วม 2 - 3 ปีแล้ว  เมื่อรวมเงินค่างวดค่าดอกเบี้ยและเงินค่าปรับซึ่งขึ้นไปเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้   การชำระหนี้รถจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด  ก็เป็นลักษณะเดียวกับคนเมืองใหญ่ที่มีปัญหาเรื่องบัตรเครดิต และ หนี้นอกระบบ  แต่ได้ข่าวว่า  พรรคภูมิใจไทย  มีนโยบาย จะยกหนี้กองทุนหมู่บ้านฯให้ทั้งหมด 70,000 ล้านนั้น  เราก็ว่าดี แต่ควรเป็นเงินของพรรคเองนะ  ไม่ใช่เงินภาษี  ส่วนใครที่กำลังคิดจะให้บัตรเครดิตชาวนา  ก็ลองไปทบทวนใหม่



-  งานโอทอป  ทุกวันนี้  งานโอทอปเจ้าเล็กเจ้าน้อย ต่างโรยราล้มหายตายจากไปกว่าครึ่ง เมื่อนับจากช่วงแรกที่เปิดโครงการ  เพราะชาวบ้านเขาก็แค่ทำได้ แต่ทำแล้วขายไม่เป็นเพราะไม่รู้จะขายใคร  เนื่องจาก ชาวบ้านไม่มีความรู้เรื่องระบบการตลาดที่ดี จนทุนหายกำไรหด  ที่เหลืออยู่ก็แค่ประคับประคองตัว  โดยการกู้นอกระบบหมุนเวียนไปวันๆ  ยกเว้นแต่รายใหญ่ๆที่ทำกันมานานก่อนที่จะเกิด " โอทอป "  เท่านั้น ที่ยังคงแข็งแรงอยู่  แล้วชาวโอทอป เขาจะอยู่กันยังไง


ป้ายแบบนี้จะพบเห็นได้ตามหมู่บ้านตำบลรอบนอก  ซึ่งชาวบ้านร้องเรียนว่า ลูกหลานเขาโดนรีดไถเป็นประจำ  วัยรุ่นบางคนก็โดนยึดรถไป  แล้วก็ไม่มีพ่อแม่เด็กคนใดใครกล้าไปทวงคืนจากตำรวจด้วย


"  ใส่หมวกแล้ว  ก็ยังตรวจใบขับขี่ "
ทั้งที่กฏหมายเขียนว่า " จะว่ากล่าวตักเตือน หรือ เขียนใบสั่งก็ได้  "
แล้วสิทธิ " การว่ากล่าวตักเตือนของประชาชนหายไปไหน "
กฏหมาย กับ คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อะไรใหญ่ สำคัญ กว่ากัน   ?

-  การกวดขันของตำรวจจราจร  ที่คึกคักและเฟื่องฟูที่สุด  นับแต่รัฐบาลไทยรักไทย  มีโครงการเอื้ออาทรตำรวจ  โดยได้ปรับปรุงการจ่ายสินบนเงินรางวัลค่าปรับการจับกุมความผิดจราจรทางบก  จากเดิม ไม่เกินคนละ 3,800 บาท ไปเป็นไม่เกินคนละ 10,000 บาท ต่อเดือน ( แถมเดือนไหนจับได้น้อยก็เบิกเงินอุดหนุนมาเพิ่มให้  )  ในปี 2546 เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้ตำรวจจราจรเป็นต้นมา ( แต่ไม่ได้รักคนยากคนจน เหมือนปากว่าเลย )   ซึ่ง เราจะสังเกตุเห็นความฮึกเหิมขยันขันแข็งตั้งด่านตรวจน้อยใหญ่อย่างเอาเป็นเอาตาย ( ตั้งด่านตรวจ ที่ทำถูกต้องตามระเบียบมีบ้าง แต่ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่  ซึ่งฟ้องเอาผิดระเบียบวินัยได้  )  เพื่อกวดขันวินัยจราจร เช่น  การตรวจจับยึดรถดัดแปลง ( ส่วนใหญ่เป็นรถเก่าที่ซ่อมมาใช้งานไม่มีทะเบียน )  การตรวจใบขับขี่และการไม่สวมหมวกกันน็อค  ทำให้ชาวบ้านเสียทั้งเงินและเวลา  ที่น่าเศร้าคือ มีการจับหลายรูปแบบ  ตั้งแต่แอบซุ่มข้างทาง  พอรถผู้ไม่สวมหมวกกันน็อค ผ่านมา  ก็กระโดดออกมามือกางกั้นให้หยุดแล้ว ปิดกุญแจรถแล้วกระชากไป  ตลอดจนการขี่รถไล่จับวัยรุ่นดุเดือดยิ่งกว่าในหนัง  บ้างก็ถีบคนขี่ตกรถก็มี  แต่สรุปแล้ว  ตำรวจมีรายได้เพิ่มจากเงินค่าปรับปีละนับหลายสะตังค์   ยังไม่รวมมูลค่ารถมอเตอร์ไซต์ที่ถูกยึดไปเก็บไว้ที่สถานีตำรวจ ปีๆนับร้อยคัน  ซึ่งต่อมาก็มีพ่อค้ามาประมูลไปในราคาถูกทุกปี  ( เงินไปไหนไม่ทราบ )  นับว่า เรื่องการกวดขันจับปรับของตำรวจจราจรเพื่อหวังเงินสินบนรางวัลเป็นที่ตั้งนี้  ได้สร้างความทุกข์ผสมความแค้นเคืองใจให้กับชาวบ้านผู้มีรายได้น้อย หรือ ชาวรากหญ้า มานานนับ 8 ปีแล้ว  








หากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คิดว่า  การปฎิบัติงานเช่นนี้เป็นเรื่องที่สมควร  และ อยากทำให้ถูกต้องโดยไม่ต้องการให้ถูกกล่าวหาว่า ไปริดรอนสิทธิขั้นพื้นฐานอันพึงมีของประชาชน  ก็ควรไปแก้กฏหมาย พรบ.จราจรทางบก 2522 มาตรา 140  โดยการตัดคำว่า " ว่ากล่าวตักเตือนผู้ขับขี่ " ออกเสีย  ไม่เช่นนั้น  จะเป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ของกฏหมาย  มาข่มเหงประชาชน

พรรคการเมืองใด  จะรับพิจารณาแก้ไขผลงานที่เป็น มรดกบาปจากรัฐบาลไทยรักไทย ในเรื่องนี้  โดยการริบเงินรางวัลสินบนค่าปรับต่างๆของตำรวจจราจร  ให้เข้าคลังหลวงทั้งหมดเสีย ( เพื่อจะได้นำไปพัฒนาประเทศในประโยชน์อื่นๆได้ ) จากเดิมที่เงิน  100 บาทเคยกันให้ตำรวจผู้จับกุมถึง 95 บาท แต่ส่งเข้าคลัง เพียงแค่ 5 บาท  ทั้งที่รัฐเป็นผู้เสียหาย เพราะประชาชนทำผิดกฏหมาย แต่เงินค่าปรับ ทำไมต้องเข้ากระเป๋าตำรวจเกือบทั้งหมด  ซึ่งดูแล้วมันไม่คุ้มกับค่าพิมพ์ใบสั่งเลย  และให้ เสนอ โอนงานรักษา พรบ.จราจรทางบก  ซึ่งทางตำรวจ ขาดแคลนทั้งรถทั้งคนแถมน้ำมันก็ไม่ค่อยมี  มิหนำซ้ำ  ก็มีปัญญารักษากฏหมายได้แค่เวลาราชการ (  8 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น หรือทำงานวันละ 8 ชั่วโมง )   ทั้งๆที่รถราวิ่งกันทั้งวันทั้งคืน  ไปให้หน่วยราชการท้องถิ่น  เช่น เทศบาล และ อบต. เป็นผู้ดูแลแทนเสีย เพราะมีกฏหมายรองรับบางส่วน และมีความพร้อมทุกอย่างทั้งคน รถ น้ำมัน และ เวลา

หากมีพรรคใดรับปากว่า  จะแก้ไขเรื่องจราจรข่มเหงประชาชนได้  ชาวบ้านเขาคงจะกาคะแนนให้จนหมดตัว




วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ดูหน้าตา คนอาสาชาวนครพนม ก่อนตัดสินใจ " เลือกตั้ง ' 54 "



มีคนบอกว่าตนทรยศหักหลัง และขายตัวตนจะไม่ทะเลาะโต้แย้งกับใคร ประชาชนเลือกตนมาเป็นรัฐบาล เพื่อนำงบประมาณมาสร้าง จ.นครพนม ปีงบประมาณ 2553 ได้ 5,200 ล้านบาท และปี 2554 จะได้งบ 6,500 ล้านบาท จ.นครพนมเคยมีรัฐมนตรีและเคยมีนายกรัฐมนตรี แต่เพียงแค่ 3 ปีตนจัดให้แล้ว 












นายชวลิต ปราศรัยว่า โพลสำรวจพรรคเพื่อไทย ทุกโพลทุกสำนักชนะพรรคประชาธิปัตย์ เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ ม.นครพนมทำโพลสำรวจผู้สมัคร ส.ส.นครพนม ทั้ง 4 เขตเลือกตั้งได้ 75.6 เปอร์เซ็นต์ ชนะทุกพรรคขาดลอย 

" มหา'ลัย ชั้น 3  นี่มันเชื่อถือได้  งั้นรึ   "
"  ก็ อั๊ว  ตั้งมากับมือ "


หัวหน้าแก๊งค์ " สี่นาย  " - นายแพทย์ - นายพล - นายอำเภอ - นายก อบจ.
ที่กำลังจะโด่งดังในเวลาอีกไม่นาน จากหนังสือ " ชำแหละผลงาน หมาหลง "


เจ้าแม่ม๊อบเสื้้อแดง  เป็นข้าวนอกนา แต่ชอบอ้าง " ชาวนครพนม " เป็นที่ตั้ง
นางมนพร ปราศรัยระบุว่า เป็นระฆังยกแรกที่จะพิพากษาคนเนรคุณพรรค ทำลายอุดมการณ์ของคนนครพนม พรรคคู่แข่งกระแสดีแต่ไม่ได้กระสุน แต่เป็นกระสุนปล้นจากประชาชน ถ้าเขาเอาเหล้าให้กินเอาเงินให้ รีบเอาแต่ไม่ต้องเลือก 

oooooooooooooooooooooooooooo

กกต.นครพนม รับสมัครผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เมื่อสิ้นสุดการรับสมัคร มีผู้สมัคร10พรรครวม33คน

กกต.นครพนม รับสมัครผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เมื่อสิ้นสุดการรับสมัคร มีผู้สมัคร10พรรครวม33คน

ตามที่ กกต.ประจำเขตเลือกตั้งที่ 1 ถึง 4 จังหวัดนครพนม เปิดรับสมัคร ผู้สมัครรับการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ตั้งแต่วันที่ 24 - 28 พฤษภาคม 2554 เมื่อสิ้นสุดการรับสมัคร มี 10 พรรคการเมือง ส่งผู้สมัคร สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง รวมทั้งสิ้นจำนวน33คน ดังนี้
พรรคเพื่อไทย 
เขต1นายยุทธจักร เรืองวรบูรณ์
เขต2นางมนพร เจริญศรี
เขต3นายไพจิต ศรีวรขาน
เขต4นายชูกัน กุลวงษา

พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน 
เขต1นายพร้อมศักดิ์ ราชม
เขต2นายภาสวัฒน์ บุญสม
เขต3นายพงษ์ศักดิ์ พิมพงค์เขต
เขต4นายอลงกต มณีกาศ

พรรคพลังมวลชน
เขต2นายทีปเทียนชัย เทพวงษา
เขต3นายสุระวิชญ์ ขันติญาราษฎร์

พรรคประชาธิปัตย์ 
เขต1นายณรงค์ฤทธิ์ โคจำนง
เขต2นายฤทธิ์ จัตวัฒนกุล
เขต3นายสมัย จันทร์ชนะ
เขต4นายปราจิตร ตรีศรี

พรรคไทยเป็นไทย 
เขต2นายประยูร กุลาไสย
เขต4นายอุทัย เรือนงาม

พรรคภูมิใจไทย 
เขต1นายศุภชัย โพธิ์สุ
เขต2นายอารมณ์ เวียงด้าน
เขต3นส.สุมาลี พูลศิริกุล
เขต4นายณพจน์สกร ทรัพยสิทธิ์

พรรคเพื่อฟ้าดิน 
เขต1นายคงเดช ไกรษร
เขต2นางมาลิณี วงษ์รักษ์
เขต3นายมงคล อภัยโส
เขต4นางวัฒนา ประทุมทิพย์

พรรคชาติไทยพัฒนา 
เขต1นายภูมิพัฒน์ พชรทรัพย์
เขต2นายต่อศักดิ์ ควรมงคลเลิศ
เขต4นายชาญมเหศวร พงษ์พันธุ์นทีธร

พรรคความหวังใหม่ 
เขต1นายวิจิตร ชิณสาร
เขต2นายณัฐพล อนุวรรณ
เขต3นายจัตุชัย ชัยเทศ
เขต4นายจีรวัฒน์ ตุลาพัฒน์

พรรคพลังคนกีฬา 
เขต2นายกรัณฑ์ โกพลรัตน์
เขต3นายเกษมศักดิ์ ขอดเมชัย. 


          เมื่อพิจารณา ชื่อ ชั้น เงินทุน แล้ว  ก็คงจะมีอยู่ 2 พรรค ล่ะมั้ง ที่ต้อง " ห้ำหั่นกัน สมน้ำ สมเนื้อ " นอกนั้น ก็อาจจะเป็นม้ามืด " ตาอยู่ตานา "   ซึ่งก็มีโอกาศเป็นไปได้สูง  เพราะคะแนนสงสาร  หรือ เพราะ กระแส ความเกลียด รึ หมั่นใส้ " พรรคเก่า ตัวเกร็ง  "  ซึ่งชอบคุยข้ามหัวคนนครพนมมาตลอด 15  ปีว่า  "  เมืองนครพนม ของผม "  ( แล้วพวกมึงครอบครอง บ้านกูแต่เมื่อไหร่ ว๊ะ ) ก็กำลังแรงไม่น้อย    แต่อย่างไรก็ตาม  ก็เป็นเรื่องของ " เราคนนครพนม "  ( แท้ๆ ไม่ใช่หมาหลง ฝูงใหญ่ๆ  )  ที่ต้องตัดสินใจว่า  จะเลือกใครมาเป็น " สส.นครพนม " ที่เป็น  " ตัวแทนของชาวนครพนม ขันอาสา มารับใช้พ่อแม่พี่น้องชาวนครพนม  "  อย่างแท้จริง  


โดยให้แง่คิดสั้นนิดเดียว

              -    จะเลือก  คนที่อยากเป็น   ขี้ข้ารับใช้  " พ่อแม่พี่น้องประชาชน  ชาวนครพนม   "
                                                                             หรือ
               -   จะเลือก  คนที่อยากเป็น  ขี้ข้ารับใช้  " นายทุน  เจ้าของพรรค " 

                                                                                 สวัสดี
-


วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ปฐมบท " เลือกตั้ง 2554 " ถูกใจ ไม่ถูกต้อง หรือ ถูกต้อง ไม่ถูกใจ


นับแต่มีพระราชกฤษฏีกาการยุบสภาฯ และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว  คณะกรรมการการเลือกตั้ง  ก็มีมติ กำหนดวันเลือกตั้ง สส. ขึ้นทั้งประเทศ ในวันที่ 3 กรกฏาคม 2554  
เป็นอันว่า  " ฤดูกาล หรือ สงครามการเลือกตั้ง " ครั้งใหม่ก็ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ  โดยมีพรรคการเมืองประกาศตัว กรรมการพรรคและผู้สมัครรับเลือกตั้งกันอย่างคึกคัก  


การเปิดรับสมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ และการจับสลากหมายเลขที่ใช้ในการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ณ อาคารกีฬาเวสน์ 2 สนามกีฬาไทย ญี่ปุ่น-ดินแดง บรรดาพรรคการเมืองใหญ่น้อยต่างๆก็จูงมือมาสมัครกันพร้อมหน้าพร้อมตา  และบรรยากาศก็เป็นไปอย่างคึกคัก โดยความสนใจของนักข่าวพุ่งไปที่ 2 พรรคใหญ่ ที่มีสิทธิ์ได้จัดตั้งรัฐบาลว่าจะจับได้เบอร์อะไร   และดูเหมือนว่า พรรคเพื่อไทย จะได้เฮลั่นดังสนั่นกว่าใคร หลังหัวหน้าพรรค นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ จับได้เบอร์ 1 หมายเลขแห่งนัยสำคัญของความเป็นที่หนึ่ง ขณะที่ พรรคประชาธิปัตย์ โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จับได้ เบอร์ 10 ซึ่งหลายคนมองว่า เลขสองหลักอาจเสียเปรียบ  แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

สรุปหมายเลขประจำตัวพรรคการเมือง

           หมายเลข 1 พรรคเพื่อไทย
           หมายเลข 2 พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน
           หมายเลข 3 พรรคประชาธิปไตยใหม่
           หมายเลข 4 พรรคประชากรไทย
           หมายเลข 5 พรรครักประเทศไทย
           หมายเลข 6 พรรคพลังชล
           หมายเลข 7 พรรคประชาธรรม
           หมายเลข 8 พรรคดำรงไทย
           หมายเลข 9 พรรคพลังมวลชน
           หมายเลข 10 พรรคประชาธิปัตย์
           หมายเลข 11 พรรคไทยพอเพียง
           หมายเลข 12 พรรครักษ์สันติ
           หมายเลข 13 พรรคไทยเป็นสุข
           หมายเลข 14 พรรคกิจสังคม
           หมายเลข 15 พรรคไทยเป็นไทย
           หมายเลข 16 พรรคภูมิใจไทย
           หมายเลข 17 พรรคแทนคุณแผ่นดิน
           หมายเลข 18 พรรคเพื่อฟ้าดิน
           หมายเลข 19 พรรคเครือข่ายชาวนาแห่งประเทศไทย
           หมายเลข 20 พรรคการเมืองใหม่
           หมายเลข 21 พรรคชาติไทยพัฒนา
           หมายเลข 22 พรรคเสรีนิยม
           หมายเลข 23 พรรคชาติสามัคคี
           หมายเลข 24 พรรคบำรุงเมือง
           หมายเลข 25 พรรคกสิกรไทย
           หมายเลข 26 พรรคมาตุภูมิ
           หมายเลข 27 พรรคชีวิตที่ดีกว่า
           หมายเลข 28 พรรคพลังสังคมไทย
           หมายเลข 29 พรรคเพื่อประชาชนไทย
           หมายเลข 30 พรรคมหาชน
           หมายเลข 31 พรรคประชาชนชาวไทย

   สรุปว่า  การจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งมีจำนวนสส.มากเป็นอันดับ 1 และ 2   ก็คงจะเป็นของสองพรรคใหญ่ไม่มีใครแย่ง  แต่โอกาศจะได้จัดตั้งรัฐบาล ก็คงขึ้นกับพรรคขนาดกลาง  โดยมีพรรคเล็กเป็นตัวแปรที่สำคัญ  ไอ้เรื่องจะมาตีกินง่ายๆใครคิดอย่างนั้นก็คงฝันไป  เปรียบเทียบสองพรรคใหญ่ให้เข้าใจง่ายๆ ให้เห็นความแตกต่าง  พรรคหนึ่งเพิ่งเกิดใหม่แต่สส.ในพรรคล้วนแล้วแต่หน้าเก่าเขี้ยวลากดินประเภท " ชายสามโบสถ์ " เป็นส่วนใหญ่ การบริหารงานก็คล้ายบริษัทมหาชนแต่มีเจ้าของ ทำงานรวดเร็วถูกใจผู้คน  ส่วนเรื่องจะผิดจะถูกก็ค่อยมาว่ากัน  อีกพรรคหนึ่งก็เป็นพรรคเก่าแก่ บริหารงานก็คล้ายกับหน่วยงานราชการ  มีกฏระเบียบมากมาย  จะทำอะไรต้องระมัดระวังอย่าให้ผิดกฏหมาย  จึงเชื่องช้าไม่ทันใจผู้คน  จึงเป็นที่มาของคำว่า " ถูกใจ  ไม่ถูกต้อง  หรือ  ถูกต้อง  ไม่ถูกใจ "

ส่วนในจังหวัดนครพนมของเรา  เมื่อแต่ละพรรคได้ประกาศตัวผู้สมัครแบบแบ่งเขตและสมัครเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  เราก็จะได้นำเอามาพูดถึงอีกทีว่า  ใครเป็นใคร  และจะเป็นอย่างไรต่อไป